20 ที่เที่ยวอเมริกา น่าไปเที่ยวแบบ Unseen
หนึ่งในลิสต์ของประเทศที่สามารถเดินทางออกไปเที่ยวกันได้แล้วในตอนนี้ ก็คือ “สหรัฐอเมริกา”
ที่ใช้แค่วีซ่าแต่เพียงเท่านั้น กับเงื่อนไขเอกสาร ที่สามารถเช็คมาตราการสนามบินก่อนเดินทาง ได้ที่นี่
ประเทศสหรัฐอเมริกาเอง เป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ละรัฐ แต่ละเมือง ล้วนมีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และมีสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร ให้เลือกเที่ยวเลือกปักหมุดมากมายนับไม่ถ้วน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่แปลกๆ ในแบบที่ไม่เคยไป
เรามี 20 ที่เที่ยวอเมริกา ที่น่าไปเที่ยวแบบ Unseen มาฝาก ส่วนจะมีสถานที่ใดบ้าง ไปดูกัน
จองตั๋วเครื่องบินไปอเมริกา กับTraveloka > https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-united-states-of-america
20 ที่เที่ยวอเมริกา
1. หุบเขาแอนทีโลพ (Antelope Canyon)
หุบเขาแสนสวยงามแปลกตาแห่งเมืองเพจ (Page) รัฐแอริโซนา (Arizona)
ซึ่งเกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ที่ถูกน้ำกัดเซาะผ่านห้วงเวลาไม่ต่ำกว่า 190 ล้านปี
เกิดเป็นภูเขาหินทรายคดเคี้ยวเหมือนเกลียวคลื่น มีลวดลายสุดมหัศจรรย์ กลายเป็นสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง
ขณะเดียวกันก็เป็น “หุบเขาที่อันตรายที่สุด” เช่นกัน เนื่องจากอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับน้ำสามารถสูงถึง 10 เมตรทีเดียว
จุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเก็บภาพประทับใจ คือจุดโค้งเกือกม้า (Horseshoe Bend) ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำโคโลราโด (Colorado River)
กัดเซาะหินจนเกิดเป็นหุบเขาโค้งขนาดยักษ์ ด้วยเป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางมาก
ทางการจึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ไม่เกิน 20 คนต่อวันเท่านั้น
2.อุทยานเเห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park)
อุทยานเเห่งชาติเยลโลว์สโตน เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของอเมริกา
และนับเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริก
า ตั้งอยู่ในเขตติดต่อ 3 รัฐได้แก่ ไวโอมิง (Wyoming) มอนทานา (Montana) และไอดาโฮ (Idaho)
นับเป็นหนึ่งใน ที่เที่ยวอเมริกา ที่ควรมากมาก ๆ ภายในอุทยานฯ ประกอบไปด้วยที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน
มีบ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง และยังมีน้ำตกอีกกว่า 300 แห่ง
ไฮไลท์ของที่นี่ คือ “บ่อน้ำพุร้อนสีรุ้งแห่งเยลโลว์สโตน” (Grand Prismatic Spring) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่ ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก
และได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดในโลก อีกหนึ่งจุดห้ามพลาดคือ “เวสต์ธัมบ์เกย์เซอร์เบซิน” (West Thumb Geyser Basin)
ซึ่งบริเวณนี้จะมีน้ำพุร้อน บ่อโคลนเดือดมากมาย มีทางเดินให้ชมความงดงามของธรรมชาติริมทะเลสาบด้วย
3.เนินเขาพาลูซ (Palouse Hill)
เนินเขาพาลูซ เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของรัฐวอชิงตัน (Washington) มีลักษณะเป็นเนินดินกว้างกว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร
เกิดจากลมพัดเศษฝุ่น ตะกอนดินและโคลนเรียกว่า “ดินเลิสส์” ที่ทับถมกันเป็นเวลานับหมื่นปี
พัดมาจากภูมิภาคที่มีอากาศแห้งมาสู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ เนินแห่งนี้ยังเป็นแหล่งปลูกข้าวสาลีแหล่งของใหญ่อเมริกา
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน ที่นี่จะกลายเป็นเนินทุ่งข้าวสาลีสีเขียวขจี ยามต้องแสงแดดอ่อนในยามเช้า
เกิดเป็นภาพสวยงามจับตา จุดถ่ายรูปยอดนิยมคือ “อุทยานสเตปโทบัตต์” (Steptoe Butte State Park)
ที่มียอดเขาสเตปโทบัตต์ (Steptoe Butte) ที่มีความสูง 3,612 ฟุต
เป็นจุดชมวิว 360 องศา ใกล้ๆ ยังมีน้ำตกพาลูซ (Palouse Falls) ให้เที่ยวชมอีกด้วย
4.เกาะคาไว (Kauai island)
เกาะคาไว เป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุดทางธรณีวิทยาของหมู่เกาะฮาวาย (Hawaii)
ขึ้นชื่อในเรื่องป่าฝนที่ชุ่มฉ่ำและแนวชายฝั่งหินขรุขระ อันเป็นที่มาของฉายา “The Garden Island” หรือเกาะสวน
ชายฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะมีเมืองคีลาเว (Kilauea) ที่มี “คีลาเวพอยท์” (Kilauea Point) เป็นจุดชมทัศนียภาพปากปล่องภูเขาไฟ
จุดปักหมุดหลักของเกาะแห่งนี้คือ “ไวเมียแคนยอน” (Waimea Canyon) ที่ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาลึกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
ที่นี่มีกิจกรรมต่างๆ ให้เพลิดเพลินมากมาย อย่างเช่น ล่องเรือชมทิวทัศน์และการดำน้ำตื้นตามแนวชายฝั่งนาปาลี (Na Pali Coast)
และสำรวจเส้นทางเดินป่าที่มีชื่อว่า “ยักษ์หลับ” (Sleeping Giant) ที่มีระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร
5.หุบเขาโมนูเมนต์ (Monument Valley)
หุบเขาโมนูเมนต์ เป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมที่รังสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติ มีลักษณะเป็นแท่งหินขนาดมหึมา
ตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ราบสูงโคโลราโด (Colorado Plateau)
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณเขตสงวนของชนเผ่านาวาโฮ (Navajo Nation’s Monument Valley Park)
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา หุบเขาแห่งนี้อยู่บนที่ราบไม้พุ่มอันแห้งแล้ง
รอบพื้นที่เต็มไปด้วยแท่งหินแท่งหรือซากหินรูปร่างแปลกตา ที่ถูกกัดกร่อนมายาวนานมากกว่า 50 ล้านปี
โดยมี “หินรูปแม่อธิการ” และ “หินแม่ชีทั้งสาม” ซึ่งเป็นเนินหินที่สูงที่สุดในกลุ่มแท่งหินเหล่านี้
ที่นี่ยังเป็นสถานที่หรือเป็นโลเคชั่นสำหรับถ่ายภาพยนตร์หลายเรื่องอีกด้วย
6.หุบเขาโยเซมิตี (Yosemite Valley)
เป็นหุบเขาที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ตั้งอยู่ใน “อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี” (Yosemite National Park)
เป็นอุทยานที่รู้จักกันในชื่อของหน้าผาหินแกรนิต ที่นี่มีจุดที่น่าสนใจอย่าง ภูเขาฮาล์ฟโดม (Half Dome)
และภูเขาเอลแคปปิตอล (El Capital) ภูเขาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งฉากขึ้นไปถึง 900 เมตร แม้จะมีระยะทางเพียง 11 กิโลเมตร
แต่ก็มีจุดที่น่าสนใจให้แวะชมมากมาย อย่างเช่น “น้ำตกโยเซมิตี” (Yosemite Falls) น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ
“ทะเลสาบมิลเลอร์” (Mirror Lake) ที่มีน้ำใสสะอาดราวกระจก “เซนติเนลร็อก” (Sentinel Rock)
เทือกเขาหินแกรนิต และกลาเซียร์พอยท์ (Glacier Point) จุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอุทยานฯ
7.ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier)
“เมนเดนฮอลล์” เป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติตองกาส (Tongass National Forest)
เป็นป่าสงวนแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมืองจูโน (Juneau) รัฐอลาสกา (Alaska)
เป็นถ้ำที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งที่สวยงาม ทอดยาวออกไป 12 ไมล์ จุดกว้างของถ้ำประมาณเกือบครึ่งไมล์
ความลึกในจุดที่ลึกที่สุดของถ้ำอยู่ที่ 1800 ฟุต ถ้ำน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ประกอบด้วยก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ประมาณ 38 ก้อน
และขนาดเล็กมากกว่า 100 ก้อน กิจกรรมยอดนิยมของถ้ำแห่งนี้คือ พายเรือคายัคหรือเรือแคนูชมบรรยากาศ
ภายในถ้ำ และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีถ้ำหลายขนาด และมีความสวยงามแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชั้นของน้ำแข็ง
8.ไบรซ์แคนยอน (Bryce Canyon)
ไบรซ์แคนยอน (Bryce Canyon) ตั่งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐยูทาห์ (Utah)
สัญลักษณ์สำคัญของไบรซ์แคนยอนหน้าผาสูงถึง 2,800 เมตร
คือ “เสาหินฮูดู” (Hoodoos) แท่งหินสีส้มแดง ตั้งเรียงรายอยู่ท่ามกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาล
ส่วน “หน้าผาสีชมพู” (Pink Cliffs) เป็นจุดสูงสุดของอุทยานฯ
ที่มีความพิเศษอยู่ตรงที่ รูปลักษณ์และสีสันของหินจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแสงของวัน
นับตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ณ ที่ราบสูงอควาริอุส (Aquarius Plateau) จวนจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกที่ซันเซ็ตพอยต์ (Sunset Point)
ส่วนที่“เรนโบว์พอยต์” (Rainbow Point) มีสะพานหินธรรมชาติ และมีเส้นทางเดินอีกมากมายให้ได้สำรวจกัน
9.ประภาคารแฮทเทอร์รัส (Cape Hatteras Lighthouse)
ประภาคารแฮทเทอร์รัส เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานชายทะเลแห่งชาติเคพแฮทเทอร์รัส (Cape Hatteras National Seashore)
ตั้งอยู่บนเกาะแฮทเทอร์รัส (Hatteras Island) ที่เมืองบักซ์ตัน (Buxton) รัฐนอร์ธแคโรไลนา (North Carolina)
นับเป็นประภาคารที่สูงที่สุดในอเมริกาและเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยความสูง 210 ฟุต สร้างขึ้นในปี 1802
ใกล้ๆ กับบริเวณที่เรียกว่า “เพชรสันดอน” (Diamond Shoals) ที่จะมีกระแสน้ำในบริเวณนี้จะเกิดพายุใต้น้ำอยู่ตลอดเวลา
ทำลายเรือกว่า 2,000 ลำ ประภาคารนี้จึงทำหน้าที่สังเกตการณ์ ส่งสัญญาณที่มองเห็นจากทะเลไปเกือบ 20 ไมล์ ในทุกๆ 7 วินาทีเลยทีเดียว
ใกล้ๆ กันมีพิพิธภัณฑ์ของประภาคารแฮทเทอร์รัส ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของผู้ดูแลประภาคารในสมัยนั้นนั่นเอง
10.สวนโอ๊คแอลีย์ (Oak Alley Plantation)
สวนโอ๊คแอลีย์ (Oak Alley Plantation) เป็นสวนต้นโอ๊คที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐลุยเซียนา (Louisiana)
ตั้งอยู่ที่ชุมชนวาเชอรี (Vacherie) บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี ในเมืองนิวออร์ลีนส์ (New Orleans)
ภายในสวนมีทางเดินทอดยาวราว 240 เมตร ที่ปกคลุมด้วยร่มไม้ของต้นโอ๊คที่ปลูกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18
นับเป็นจุดถ่ายรูปที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายภาพสวยๆ และย้อนรอยภาพยนตร์เรื่องดัง อย่าง Forrest Gump
และ 12 Years a Slaveที่สำคัญอุโมงค์ต้นโอ๊กแห่งนี้ยังได้รับการคุ้มครองให้เป็น
“สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ” (National Historic Landmark) ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
11.เมืองแองเคอเรจ (Anchorage)
เมืองที่ใหญ่ที่สุดของอลาสกา (Alaska) รัฐที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพสวยงาม เป็นเมืองที่เจริญและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด มีศูนย์การค้าใหญ่ๆ ย่านช้อปปิ้ง ย่านบันเทิง และโด่งดังในฐานะเป็นสถานที่ชมแสงเหนือ ที่สามารถมองเห็นได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนที่วนอุทยานแห่งชาติชูกาค (Chugach National Forest) เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ทั้งแม่น้ำ ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งพอร์เทจ (Portage Glacier) กิจกรรมห้ามพลาดของที่นี่มีมากมาย เช่น ล่องเรือชมธารน้ำแข็ง เล่นสโนว์ไคท์หรือว่าวสกี ขี่จักรยานน้ำแข็ง เดินบนภูเขาน้ำแข็ง ล่องแก่ง ปีนเขา ชมสัตว์ป่า และนั่งสุนัขลากเลื่อน
12.อุทยานแห่งชาติเอเวอร์เกลดส์ (Everglades National Park)
เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด และยังเป็นที่ลุ่มเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในตอนใต้ของรัฐฟลอริด้า (Florida) ที่นี่ถูกจัดให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลนานาชาติ ถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย พื้นที่ชุ่มน้ำครอบคลุม 1.5 ล้านเอเคอร์ มีต้นไม้มากกว่า 120 ชนิด กล้วยไม้เกือบ 40 ชนิด และสัตว์ป่าหลายร้อยชนิด และมีเส้นทางเดินริมทะเล “Anhinga Trail” ระยะทางยาวกว่า 12 กิโลเมตร ให้เดินชมสัตว์ป่า กิจกรรมแนะนำคือ ชมวิวมุมสูงที่หอสังเกตการณ์ล่องเรือชมอ่าวฟลอริดา พายคายัคชมฝูงนกฟลามิงโก วัวทะเลหรือพะยูนแมนนาที อเมริกันแอลลิเกเตอร์หรือจระเข้ตีนเป็ดอเมริกา สัตว์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ประจำรัฐฟลอริดา
13.ภูเขาไฟไดมอนด์เฮด (Diamond Head)
ภูเขาไฟไดมอนด์เฮด คือภูเขาไฟที่ดับแล้วเมื่อกว่า 150,000 ปีก่อน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของฮาวาย (Hawaii)
ตั้งอยู่บนเกาะโอวาฮู (Oahu Island) มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากหาดไวกิกิ (Waikiki Beach)
มีลักษณะคล้ายหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ กินพื้นที่กว่า 475 เอเคอร์ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของเส้นทางเดินป่าไฮกิ้ง
ที่นักเดินป่าไม่ควรพลาดที่จะสำรวจเส้นทางของภูเขาไฟที่สวยงาม ลัดเลาะไปตามไหล่เขา พร้อมกับชมวิวริมสองข้างทาง
ตั้งแต่ฐานภูเขาไฟไปจนถึงจุดสูงสุด ที่สามารถชมทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา
เป็นเส้นทางเดินที่มีการจัดทำเป็นบันไดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปผจญภัยได้อย่างสบายๆ มีหลายระดับ ทั้งเส้นทางเดินตรง
หรือทางชันขึ้นสู่ยอดเขา อีกทั้งทางเดินริมหน้าผาสุดหวาดเสียว แม้ไม่มีประสบการณ์ในก่ารเดินป่าไฮกิ้งก็เที่ยวได้แบบชิลๆ
14.มอนเทซูมา (Montezuma)
มอนเทซูมา หรือ “อนุสรณ์สถานแห่งชาติปราสาทมอนเทซูมา” (Montezuma Castle National Monument)
เป็นซากปรักหักพังที่ยังมีความสมบูรณ์ ตั้งอยู่ในหุบเขาเวิร์ด ZVerde Valley) เมืองแคมป์เวิร์ด (Camp Verde) รัฐแอริโซนา (Arizona)
ถูกค้นพบประมาณช่วงคริสต์ศักราช 1100-1425 เป็นที่อยู่อาศัยคล้ายๆ อพาร์ทเมนท์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีห้องหับกว่า 20 ห้อง
ก่อสร้างติดกับหน้าผาหินปูนสูงจากพื้นดินประมาณ 27 เมตร คาดว่าเป็นที่อยู่อาศัยของ ของชาวซินากัว
ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันโบราณที่ยังสืบเชื้อสายมาถึงแอริโซนาในปัจจุบัน ไม่ไกลกันยังมี “บ่อน้ำมอนเทซูมา” (Montezuma Well)
เป็นบ่อน้ำที่ชาวชินากัวใช้บริโภคเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ให้ได้เยี่ยมชมกันอีกด้วย
15.หอคอยสเปซนีดเดิล (Space Needle)
หอคอยสเปซนีดเดิล สัญลักษณ์ของเมืองซีแอตเทิล (Seattle) เป็นหอสังเกตการณ์สูงประมาณ 184 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี 1962
เมื่อครั้งที่ซีแอตเติลได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World’s Fair ตั้งอยู่ที่ “ซีแอตเทิลเซ็นเตอร์” (Seattle Center)
ย่านโลเวอร์ควีนแอนน์ (Lower Queen Anne) เป็นหอคอยที่มีลักษณะแปลกตาล้ำสมัย
ภายในสเปซนีดเดิลมีร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหารลอยฟ้า “Skycity Restaurant”
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชิมเมนูอร่อย พร้อมๆ กับชมทิวทัศน์เมืองซีแอตเทิลแบบ 360 องศา
ใกล้ๆ กันมีย่านไพโอเนียร์สแควร์ (Pioneer Square) ย่านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดของเมือง
ที่นี่มีแกลเลอรี ห้องอาหาร ร้านหนังสือ และร้านของที่ระลึกให้แวะขมมากมาย
16. อุทยานแห่งชาติถ้ำแมมมอธ (Mammoth Cave National Park)
เป็นกลุ่มถ้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวประมาณ 530 กิโลเมตร ตั้งอยู่ตอนกลางของรัฐเคนทักกี (Kentucky)
ห่างจากเมืองหลุยส์วิลล์ (Louisville) ประมาณ 144 กิโลเมตร อุทยานฯ แห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1797
และได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี 1981 ภายในถ้ำมีลักษณะคล้ายเขาวงกต
ห้องโถงและทางเดินของถ้ำมีเส้นทางยาวเกือบ 640 กิโลเมตร เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่ประดับไฟไว้อย่างสวยงาม
และมีแม่น้ำเอโค (Echo River) ที่อยู่ลึกลงไป 110 เมตร เป็นที่อยู่ของปลาและกุ้งอีกหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นสัตว์ตาบอดและไม่มีสี
เนื่องจากอยู่ภายในถ้ำที่มืดมิดมาเป็นเวลายาวนานนั่นเอง
17.อนุสรณ์สถานแห่งชาติไวท์แซนด์ (White Sands National Monument)
อุทยานแห่งชาติไวท์แซนด์ หรือ ทะเลทรายขาว ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาซาคราเมนโต (Sacramento Mountains) ทางตะวันออก
และเทือกเขาซาน อันเดรียส (San Andreas Mountains) ในรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) ทะเลทรายขาวเกิดจากตะกอนยิบซัม
ที่ถูกฝนชะล้างไหลลงสู่แอ่งทูลาโซ (Tulaso Basin) เมื่อน้ำทะเลระเหยออกจนหมด กลายเป็นทะเลทรายยิปซัมครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่กว่า 700 ไร่
ซึ่งนับป็นแหล่งยิปซัมที่ใหญ่ที่สุดในโลก กิจกรรมของที่นี่ คือการไต่เขาตามเส้นทางที่อุทยานฯ กำหนด
เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนเส้นขอบฟ้า และเที่ยวชมดอกไม้ป่า
ที่พร้อมใจกันเบ่งบานในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนมิถุนายนของทุกๆ ปี
18.สุสานโบนาเวนเจอร์ (Bonaventure Cemetery)
สุสานโบนาเวนเจอร์ ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 330 ถนนโบนาเวนเจอร์ บนหน้าผาเหนือแม่น้ำแม่น้ำวิลมิงตัน (Wilmington River)
ทางตะวันออกของเมืองซาวานา (Savannah) รัฐจอร์เจีย (Georgia) เป็นสุสานสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มีเนื้อที่เกือบ 160 เอเคอร์
ซึ่งได้กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนจากนวนิยายเรื่อง “เที่ยงคืนในสวนแห่งความดีและความชั่ว” (Midnight in the Garden of Good and Evil)
ของนักเขียน “จอห์น เบเรนท์” (John Berendt) ซึ่งต่อมาได้สร้างเป็นภาพยนตร์ในเรื่องเดียวกัน
กิจกรรมขึ้นชื่อของที่นี่คือ “ทัวร์สุสาน” เพื่อชมหลุมฝังศพและประติมากรรมที่ประดับไว้ทั่วสุสานที่ร่มรื่นไปด้วยต้นโอ๊ค
และต้นไม้นานาพันธ์ุที่ขึ้นปกคลุม เพิ่มบรรยากาศให้น่ากลัวน่าวังเวงยิ่งขึ้น
19. อุทยานภูเขาไฟหมู่เกาะฮาวาย (Hawaii Volcanoes National Park)
อุทยานภูเขาไฟหมู่เกาะฮาวาย ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 1987
มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งนี้มีภูเขา 2 ลูก เป็นไฮไลท์ คือ ภูเขาไฟมาอูนาโลอา (Mauna Loa)
เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่สูงที่สุดในโลก และภูเขาไฟคิลาเวอา (Mount Kilauea) ภูเขาไฟที่มีอายุระหว่าง 300,000 – 600,000 ปี
ยอดของภูเขาไฟลูกนี้โผล่พ้นระดับน้ำทะเลราวหนึ่งแสนปีก่อน
นับเป็นภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่มากที่สุดในบรรดาภูเขาไฟทั้ง 5 ลูกของเกาะฮาวาย (Hawaii)
บนยอดภูเขาไฟสามารถเดินทางขึ้นไปชมได้ และจะสวยงามตื่นตาตื่นใจในเวลากลางคืน
ที่มองเห็นลาวาสีแดงส้มได้อย่างชัดเจนจากด้านในแอ่งปล่องภูเขาไฟ
โดยสามารถตั้งแคมป์ในพื้นที่ที่ทางอุทยานจัดเตรียมไว้ให้ แถมยังมีเส้นทางเดินป่าอีกด้วย
20.เขตอนุรักษ์แฮมิลตัน (Hamilton Conservation Authority)
เขตอนุรักษ์แฮมิลตัน อยู่ห่างจากเมืองออสติน (Austin) รัฐเท็กซัส (Texas) ไปทางตะวันตกประมาณ 37 กิโลเมตร
แลนด์มาร์กของที่นี่คือ “สระน้ำแฮมิลตัน” (Hamilton Pool) เป็นสระน้ำตามธรรมชาติที่ถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 19
จุดเด่นคือน้ำในสระใสราวกระจก และช่องน้ำตกขนาด 50 ฟุต ไหลลงมาจากจากชะง่อนผา สวยงามราวภาพวาด
โดยสระแห่งนี้ปรากฎขึ้นมากว่าพันปี เป็นผลมาจากการพังทลายของหน้าดิน ซึ่งทำให้หินปูนใต้ผิวดินเกิดการทรุดตัว
ทำให้แม่น้ำไหลลงสู่ด้านล่างกลายเป็นสระแฮมิลตัน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวกับแม่น้ำโคโลราโด
การได้เดินทางสู่โลกกว้าง ออกไปพบเห็นสิ่งที่แปลกแตกต่าง ช่างเป็นความรู้สึกที่ Amazing มาก
ดังนั้นอย่ารอช้า เล็งหาจุดหมายปลายทางในฝันไว้ให้พร้อม เมื่อใดที่การเดินทางไปยังต่างแดนเปิดกว้างกว่านี้
คุณจะได้เป็นคนแรก ๆ ที่ได้เดินทางไปพิสูจน์ให้ได้รู้ได้เห็นด้วยตาของตนเอง อย่ารอช้า ไปจองตั๋วเครื่องบินไปอเมริกากันได้เลย
ที่เที่ยวอเมริกา แบบ Unseen รอให้คุณไปสัมผัสอยู่!!
Great article.