
20 จุดเช็กอินเมืองดูไบ
“ดูไบ” ประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากเดินทางมาให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เพราะเมืองแห่งนี้ถูกเรียกเป็นเมืองของอภิมหาเศรษฐีที่แต่เดิมนั้นเคยเป็นเพียงเมืองประมงที่มีแค่เพียงทะเลโอบล้อมเท่านั้น
แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองแห่งมหานครโลกที่รวบรวมเหล่าเศรษฐีมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
เพราะด้วยภูมิศาสตร์ของเมือง จึงทำให้มีการขุดพบบ่อน้ำมันขนาดใหญ่หลายจุดและกลายเป็นแหล่งส่งออกน้ำมันระดับโลก
จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้น ๆ ที่ใครก็อยากเดินทางมา
วันนี้เลยอยากขอพาทุกคนไปย้อนรอยกันดูหน่อยเหมือนกับเราได้ไปตามจุดเช็กอินในเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ กันเลยกับ 20 จุดเช็กอินเมืองดูไบ
สวรรค์ที่ใคร ๆ ก็อยากมา บอกเลยว่าการเดินทางของเราในครั้งนี้จะทำให้คุณได้เตรียมตัวก่อนเปิดประเทศจริง เพราะเมื่อไหร่ที่เปิดให้บิน
เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางกันอย่างแน่นอน ที่สำคัญสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยของการเดินทางคือ
การจองตั๋วเครื่องบินไปดูไบผ่าน Traveloka แอปพลิเคชันและเว็บไซต์การท่องเที่ยวที่จะทำให้การเดินทางของคุณสะดวก และคุ้มค่าอย่างสูงสุด
จองตั๋วเครื่องบินไปดูไบ กับTraveloka > https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Dubai.DUBA
1. ตึกเบิร์จคาลิฟา (Burj Khalifa)
เริ่มต้นกันที่จุดเช็กอินแรกของเมืองดูไบกันก่อนเลยอย่าง Burj Khalifa ที่นับได้ว่าเป็นตึกสูงเฉียดฟ้าที่สำคัญของประเทศ
โดยมีความสูงกว่า 829 เมตรและมีชั้นกว่าร้อยชั้นด้วยกัน
โดยในวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปชมความสวยงามของทั้งมหานครดูไบกันว่าจะสวยงามขนาดไหนซึ่งชั้นที่เราจะพาทุกคนขึ้นไปกันนั่นก็คือชั้น 124
หรือ ชั้นหอสังเกตการณ์เป็นชั้นที่เราจะเดินทางขึ้นไปด้วยลิฟต์ความเร็วสูงเพื่อขึ้นไปเยี่ยมชมบรรยากาศของเมืองแบบ 360 องศาอย่างใกล้ชิด
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาพบรรยากาศที่เหมาะกับการถ่ายภาพและการขึ้นมาเยี่ยมชมความงดงามอย่างแน่นอนยิ่งถ้ามาในช่วงยามค่ำคืนด้วยแล้วละก็จะเป็นอีกหนึ่งความสวยงามอีกหนึ่งรูปแบบของแสงสีในมหานครแห่งนี้นั่นเอง
2. Bastakia (Old Dubai)
Bastakia Quarter หรือ เรียกอีกชื่อว่าเป็นย่าน Al-Fahidi เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
โดยแต่เดิมนั้นสถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มพ่อค้าเปอร์เซียที่เดินทางมาเพื่อซื้อไข่มุกและสิ่งทอต่าง ๆ
จึงทำให้บริเวณสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างด้วยรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโบราณ
ที่ยังคงไว้ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้มาเดินเที่ยวชมอาคารบ้านเรือนแบบอาหรับที่โดดเด่นในเรื่องของการกันลมและพายุต่าง ๆ
เพราะติดกับชายฝั่งทะเลจึงทำให้สามารถกันลมพายุได้อย่างดีเยี่ยม จึงทำให้บริเวณพื้นที่แห่งนี้ถูกเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คงไว้ซึ่งอารยธรรม
และโบราณวัตถุต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการแสดงเกี่ยวกับศิลปะตามมุมของเมืองอีกมากมาย
3. หาด Jumeirah
หากใครที่เดินทางมาถึงดูไบแล้วแน่นอนว่าจุดท่องเที่ยวที่พลาดเช็กอินไม่ได้เลยนั่นก็คือ หาด Jumeirah
หนึ่งในชายหาดที่มีความสวยงามของหาดทรายสีขาวเนื้อเนียนนุ่ม และความยาวที่ทอดยาวระนาบไปกับน้ำทะเลสีฟ้าครามได้อย่างสวยงาม
จึงทำให้บริเวณสถานที่แห่งนี้เรียงรายไปด้วยโรงแรมชั้นนำมากมายและกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ
อย่างเจ็ตสกีให้คุณได้มาร่วมสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการพักผ่อนริมชายหาดที่สวยงามกันได้อย่างเต็มที่ในบริเวณชายหาดแห่งนี้นั่นเอง
4. น้ำพุแห่งดูไบ (Dubai Fountain)
เที่ยวแนวอาคารกันไปบ้างแล้วก็เปลี่ยนมาเที่ยวชมความสวยงามของแสงสียามค่ำคืนกันบ้างที่
น้ำพุแห่งดูไบ หรือ Dubai Fountain หนึ่งในการแสดงโชว์ชื่อดังของดูไบที่เปิดให้คุณได้ชื่นชมในช่วงยามเย็นในย่าน Burj Khalifa
ที่เต็มไปด้วยอาคารและห้างสรรพสินค้ามากมายโดยรอบ จึงทำให้ในช่วงเย็นพื้นที่บริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาจับจองที่นั่งริมร้านอาหารเพื่อถ่ายรูปและชมการแสดงของน้ำพุอันยิ่งใหญ่อลังการอย่างใกล้ชิดในแบบที่คุณไม่ควรพลาดเดินทางมาชมด้วยตาของตัวเอง
โดยร้านอาหารที่แนะนำว่าสามารถมองเห็นจุดของน้ำพุได้อย่างดีเยี่ยมเลยคือร้าน The Mango Tree และ Rivington Grill
ที่เรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารแถวหน้าสุดของน้ำพุเลยทีเดียว
5. ดูไบมอลล์ (Dubai Mall)
เอาใจสำหรับใครที่เป็นสายช็อปกันบ้างกับการพาทุกคนออกเดินทางไปย่านของดูไบมอลล์ แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของเมืองดูไบ
ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสายช็อปทั้งหลายได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสุดมันส์
โดยย่านแห่งนี้จะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้ามากมายที่เปิดเรียงรายให้คุณได้เข้ามาหาซื้อสินค้าตามแบบที่คุณชอบ
และการเดินชมแฟชั่นโชว์ที่จัดแสดงอยู่ภายในห้างตามเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าหากใครที่เป็นสายช็อปปิ้งจริงจะต้องไม่พลาดเดินทางมาในงานเทศกาลช็อปปิ้งดูไบในเดือนมกราและกุมภาพันธ์อย่างแน่นอน
หรือ หากใครที่อยากช็อปปิ้งช่วงซัมเมอร์ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ก็สามารถมาร่วมเทศกาลช็อปปิ้งดูไบช่วงซัมเมอร์ได้อีกด้วย
6. บ้าน Sheikh Saeed Al-Maktoum
ไปต่อกันที่อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอย่าง Sheikh Saeed Al Maktoum
ที่นับได้ว่าเป็นบ้านของเจ้าเมืองดูไบในปี พ. ศ. 2464 ถึง 2501 โดยสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะจากแต่เดิมที่เป็นที่อยู่อาศัย
มาปรับสร้างให้เป็นพิพิธภัณฑ์อาหรับที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงามภายในบ้าน
ที่ประดับประดาไปด้วยภาพถ่ายของเมืองดูไบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
รวมทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดฮิตที่นักเดินทางส่วนใหญ่ให้ความสนใจเดินทางกันเป็นจำนวนมาก เพราะด้วยการตกแต่งของตัวบ้านที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจึงทำให้สถานที่แห่งนี้โดดเด่นจนนับได้ว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กเมืองดูไบเลยทีเดียว
7. มัสยิด Jumeirah
มัสยิด Jumirah หนึ่งในมัสยิดที่มีความสวยงามที่สุดในมหานครแห่งดูไบ
เนื่องจากมัสยิดแห่งนี้ได้รับการตกแต่งด้วยอารยธรรมสมัยโบราณในยุค fatimid จึงทำให้ได้โครงสร้างหินแบบวัฒนธรรมอิสลาม
ที่มีความโดดเด่นในเรื่องศาสนา และความสวยงามจนใครต่อใครต่างพูดถึงกันอย่างปากต่อปาก
แนะนำเลยว่าหากใครที่เดินทางมาเที่ยวที่เมืองดูไบก็ต้องไม่พลาดเดินทางมาเที่ยวชมความงดงามของวัฒนธรรมทางศาสนากันที่บริเวณพื้นที่แห่งนี้
โดยภายในจะมีทัวร์ที่เปิดให้คุณได้เข้ามาลงทะเบียนเดินเที่ยวชมตั้งแต่ 10 โมงเช้านั่นเอง
8. นาโปลี (Napoli)
เดินทางกันต่อกับจุดเช็กอินดูไบที่ต่อมาอย่างย่าน นาโปลี (Napoli) ย่านแห่งการค้าที่เปิดให้คุณได้เข้ามาซื้อสินค้าต่าง ๆ มากมาย
โดยภายในย่านแห่งนี้จะมีสินค้าหลากหลายรูปแบบมาให้คุณได้เลือกสรรไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ จาน ชาม พรม รองเท้า รวมไปถึงสินค้าต่าง ๆ อีกมากมายที่เป็นงานฝีมือที่มีการปักลวดลายต่าง ๆ แบบดั้งเดิมเพื่อเพิ่มความสวยงามและผลงานที่ประณีต จึงทำให้บริเวณย่านแห่งนี้กลายเป็นแหล่งช็อปปิ้งของฝากที่นักท่องเที่ยวส่วนนิยมมาซื้อของและเที่ยวชมสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ ในย่านของศูนย์รวมสินค้าในดูไบ ณ สถานที่แห่งนี้เลย
9. Aquaventure Waterpark
เดินทางมาถึงจุดที่น่าสนใจอย่างมากของเมืองดูใบอย่าง Aquaventure Waterpark สวนน้ำขนาดใหญ่
ที่ตั้งอยู่ใน Atlantis, The Palm on the Palm Jumeirah โรงแรมชื่อดังของเดอะปาล์มที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเพิ่มความสนุกสนาน
กับสวนน้ำระดับโลกที่มีสไลด์เดอร์ความเร็วสูงพุ่งตัวลงไปยังอควาเรี่ยมทำให้คุณสามารถว่ายน้ำเล่นผ่านฝูงปลาได้อย่างสนุกสนาน
แถมยังมีโซนเครื่องเล่นทางน้ำต่าง ๆ อีกหลากหลายมุมทั้งของเด็กเล็กและผู้ใหญ่ให้คุณได้สนุกสนานอย่างเต็มที่ บอกเลยว่าหากคุณได้เดินทางมาที่ดูไบก็ต้องไม่พลาดที่จะเดินทางมาเที่ยวเล่นที่สวนน้ำแห่งนี้เลยทีเดียว
10. อ่าวดูไบ (Dubai Creek)
อ่าวดูไบ หรือ Dubai Creek อ่าวขนาดใหญ่ที่แยกเมืองออกเป็นสองเมืองด้วยกันนั่นก็คือ นาโปลี
ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและ Bur Dubai ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งอ่าวแห่งนี้เป็นอ่าวที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นจุดที่แต่เดิมนั้นใช้สำหรับการดำหาไข่มุก เพื่อใช้ในการค้ากับประเทศอื่น ๆ
จึงทำให้ริมอ่าวทั้งสองฝั่งเมืองได้รับอิทธิพลในการเดินทางจากชาวต่างชาติเพื่อเข้ามาติดต่อซื้อขายสินค้ากันอย่างเนืองแน่นนั่นเอง
โดยต่อมานั้นบริเวณอ่าวแห่งนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นอีกหนึ่งท่าเรือข้ามฟากที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งเรือเที่ยวชมบรรยากาศ
และทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาของอารยธรรมแต่ดั้งเดิมบริเวณริมอ่าวแห่งนี้นั่นเอง
11. Alserkal Art District 1992
มาต่อกันที่เที่ยวดูไบถัดมากับ Alserkal Art District 1992 แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัยที่เปิดแสดงโชว์งานศิลปะ
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองศูนย์กลางของถนนเส้น Alserkal โดยแกลเลอรีแห่งนี้ผ่านการฟื้นฟูจนกลายเป็นศูนย์กลางหลักของดูไบ
ภายในมีการแสดงโชว์ศิลปะไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Green Art Gallery , The Third Line และ Ayyam Gallery
ที่สายอาร์ตัวยงอย่างคุณไม่ควรพลาดเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากคุณจะได้เสพงานศิลป์ดี ๆ แล้ว
คุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นบริเวณถนนโดยรอบที่เรียกได้ว่าเป็นย่านแฟชั่นและร้านเสริมสวยที่ออกแบบโดยนักออกแบบท้องถิ่น
จนกลายเป็นถนนสุดชิคที่สายอาร์ตอย่างคุณต้องถูกใจแน่นอน
12. ชายหาดว่าว (Kite Beach)
ชายหาด Kite ตั้งอยู่ในทางแยกถนนอัลมานารา ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของธรรมชาติอันงดงาม และสนุกสนานไปกับการทำกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ อย่างการเล่นว่าว ที่ได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะคนในพื้นที่ที่พากันออกมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันหยุด นอกจากนี้ยังสามารถลงเล่นน้ำเพื่อเป็นการคลายร้อนได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย
ที่สำคัญบริเวณชายหาด Kite ยังสามารถมองเห็น Burj-Al-Arab ที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นได้จากระยะไกลอีกด้วย
13. โรงแรมบุรญุลอะร็อบ (Burj al-Arab)
Burj Al-Arab เป็นโรงแรมในดูไบที่มีความสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 321 เมตร
ถูกสร้างขึ้นบนเกาะเทียมของตัวเองบนชายฝั่ง Dubai ตัวอาคารได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเหมือนเรือใบ dhow
ซึ่งนับว่าเป็นโรงแรมที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยห้องสวีทอันหรูหรามีราคาต่อคืนแพงกว่า 15,000 เหรียญ บอกเลยว่าใครที่อยากลองใช้ชีวิตแบบเศรษฐีดูไบก็ต้องไม่พลาดที่จะมาพักแรมที่โรงแรมแห่งนี้เลย
นอกจากนี้ยังสามารถไปสัมผัสบรรยากาศวิวทะเลได้ที่ชั้น 27 ของโรงแรมแบบพาโรนามา
พร้อมทั้งรับประทานอาหารเย็นที่ตั้งอยู่ใต้น้ำของห้องอาหาร Al-Mahara
ท่ามกลางความโรแมนติกให้คุณได้เชยชมสิ่งชีวิตใต้ท้องทะเลได้ไปในคราวเดียวกัน
14. มัสยิดชิคชาเญด (Sheikh Zayed)
มัสยิดชิคชาเญด เป็นที่เที่ยวของดูไบที่ควรค่าแก่การไปเช็กอินเป็นอย่างมาก
เพราะนอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยการผสมผสานความทันสมัยและ วัฒนธรรมของศาสนาอิสลามที่เข้ากันอย่างลงตัว
ด้วยการใช้วัสดุในการสร้างที่มีทั้งหินอ่อน เซรามิก คริสทัล และทองคำได้อย่างน่าสะดุดตาแล้ว
มัสยิดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและเป็นหนึ่งในคุณค่าทางจิตใจของชาวดูไบจำนวนมาก
ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์ของการไปเยี่ยมชมมัสยิดแห่งนี้ก็คือ การชมโคมไฟแชนเดอร์เลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่าราว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และพรมผืนใหญ่ที่สุดในโลกที่ทอเป็นผืนเดียวโดยไม่มีรอยต่อ
ที่สำคัญหากใครที่ชื่นชอบถ่ายภาพที่เที่ยวดูไบแห่งนี้ก็มีจุดถ่ายรูปสุดชิคอีกหลายจุดเลยทีเดียว
15. เดอะปาล์ม (The Palm)
เกาะต้นปาล์ม เป็นเกาะที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
เนื่องจากเกาะแห่งนี้เป็นเกาะเทียมที่ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนต้นปาล์ม ซึ่งมีการจัดสรรส่วนต่าง ๆ ให้เป็นเมืองสุดหรู
ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารระดับภัตตาคาร รีสอร์ตสุดหรู โรงแรมระดับ 5 ดาว
ห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำ ตลอดไปจนถึงสวนน้ำ สปาชั้นเยี่ยมระดับโลก อีกทั้งยังมีบ้านพักวิลล่าติดริมทะเล ที่ต้องบอกได้เลยว่าแต่ละอย่างมีความอลังการเป็นอย่างมาก หากใครอยากลองมาสัมผัสเมืองแห่งมหาเศรษฐีก็ต้องไม่พลาดกับการมาเช็กอินที่เกาะแห่งนี้
16. เฟอร์รารี เวิลด์ (Ferrari World)
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเรื่องรถ และความสนุกสนานก็ต้องไม่พลาดที่จะเดินทางมาที่ เฟอร์รารี เวิลด์ (Ferrari World theme park)
ที่เปิดเป็นสวนสนุกในร่มแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลกด้วยสัญลักษณ์เฟอร์รารี่ขนาดใหญ่ โดยภายในเต็มไปด้วยเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวต่าง ๆ มากมาย ที่รอให้คุณไปสัมผัสความตื่นตาตื่นใจด้วยตัวเองสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็น รถไฟเหาะที่มีความเร็วสูงถึง 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
หรือการจำลองขับรถแข่งที่คุณอาจไม่เคยทำมาก่อน ตลอดไปจนถึงการเพลิดเพลินในการเดินเล่นชมสินค้าที่ระลึกสุดหรูจากเฟอร์รารี
หรือเครื่องหนังอื่น ๆ ที่คุณสามารถเลือกซื้อได้อย่างตามอำเภอใจ
17. ทะเลทรายอาบูดาบี (Abu Dhabi Desert)
เมื่อมาถึงดูไบแน่นอนว่าก็ต้องไม่พลาดกับไฮไลท์เด็ดอย่างการไปเช็กอินที่ ทะเลทรายอาบูดาบี ที่เที่ยวดูไบที่ควรค่าแก่การไปปักหมุดกันสักครั้ง
เพราะนอกจากจะได้ชมวิวทะเลทรายอันงดงามอย่างพอใจแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเปิดประสบการณ์ใหม่ในการขี่อูฐ
พร้อมทั้งชมความสวยงามของทะเลทรายได้อย่างไกลสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้ยังสามารถดื่มด่ำไปกับการชมพระอาทิตย์ตกที่กำลังลาลับขอบฟ้าท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกได้อีกเช่นกัน
รับรองว่าการมาเช็กอินที่เที่ยวดูไบแห่งนี้จะทำให้ใครหลายคนได้สัมผัสความสนุกสนานและเก็บภาพความประทับใจได้อย่างไม่รู้ลืม
18.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำดูไบ (Dubai Aquarium & Underwater Zoo)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำดูไบ ตั้งอยู่ภายในดูไบมอลล์ โดยจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ แผงกระจกอะคริลิกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เต็มไปด้วยสัตว์น้ำใต้ทะเลมากกว่า 33,000 ชนิด ที่คอยแหวกว่ายไปมาอวดโฉมให้เราได้เห็นกันอย่างตื่นตาตื่นใจไม่ว่าจะเป็น
แพนกวิน แมวน้ำ ปลากระเบน ปิรันยา จระเข้ขนาดใหญ่ และสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ อีกมากมาย ที่คุณสามารถชื่นชมความน่ารักกันได้อย่างใกล้ชิด
โดยจุดเด่นที่เที่ยวดูไบแห่งนี้ที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวหลายคนเลยก็คือ พิพิธภัณฑ์ที่เปรียบเสมือนโรงเรียนของปลาทะเล และปะการังเทียมขนาดใหญ่ที่เสมือนจริงเป็นอย่างมาก หากใครมาช้อปปิ้งที่ดูไบมอลล์แล้ว ก็อย่าลืมแวะมาชื่นชมความน่ารักและความอลังการของอุโมงค์ยักษ์แห่งนี้ได้
19.ตลาดทอง (Gold Souk)
ที่เที่ยวดูไบอย่าง Gold Souk ตลาดทองเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำครีกที่เต็มไปด้วยร้านทองที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณทั้งสองข้างทาง
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมตลาดพื้นเมืองของดูไบ เลือกชมสินค้าแปลกตาอย่าง เสื้อที่ถูกทอจากทอง หรือแหวนทองไซส์มหึมาขนาดใหญ่
และสร้อยคอ กำไลมือ รวมไปถึงเครื่องประดับอื่น ๆ ที่ทำจากทองได้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมทั้งสัมผัสความเป็นอยู่การใช้ชีวิตของคนดูไบได้อย่างใกล้ชิด บอกเลยว่าสถานที่แห่งนี้ถูกใจนักท่องเที่ยวสายช้อปและผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับได้อย่างแน่นอน
20. ดูไบ เฟรม (Dubai Frame)
ปิดท้ายกันด้วยที่เที่ยวดูไบสุดท้ายอย่าง Dubai Frame ที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกรอบรูปขนาดใหญ่ โดยมีความสูงขนาด 150 เมตร กว้าง 93 เมตร ซึ่งจุดเด่นของกรอบรูปนี้ที่ทำให้กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คยอดนิยมของบรรดานักท่องเที่ยวเลยก็คือ กรอบรูปที่ถูกฉาบด้วยทองคำอย่างงดงาม ตั้งตระหง่านเด่นจนกลายเป็นจุดสนใจของใครหลายคน อีกทั้งภายในอาคารยังมีการจัดนิทรรศการที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของเจ้ากรอบรูปขนาดยักษ์นี้ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินไปกับการชมเรื่องราวต่างๆ ไปในเวลาเดียวกัน
เป็นอย่างไรบ้างคะกับ 20 จุดเช็กอินเมืองดูไบ เมืองเศรษฐีแห่งสวรรค์ที่ใคร ๆ ก็อยากมา แต่ตอนนี้ก็คงต้องอดใจรอไว้ก่อน ไว้ให้ประเทศเปิดเมื่อไหร่ ก็สามารถเดินทางไปปักหมุดเช็กอินกันได้ รับรองว่างานนี้ฟินอย่างแน่นอน