
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปเลห์ ดาลัก
ก่อนจะเริ่ม รีวิว Leh กวิ้นขอให้คำแนะนำและปูพื้นฐานให้เพื่อน ๆ ก่อนดีกว่า
- เลห์ตั้งอยู่ทางอินเดียตอนเหนือ ดังนั้นต้องทำวีซ่าก่อน สามารถทำได้ในเว็บไซด์เลย (E-Visa) เค้าเพิ่งปรับราคาลงด้วย
- เลห์ตั้งอยู่บนความสูงมาก คือไม่ต่ำกว่า 3,000 เมตร จึงควรกินยา Acetazolamide (diamox) เพื่อป้องกันโรคแพ้ความสูงค่ะ อันนี้ซีเรียสนะ ร่างกายความพร้อมก่อนไปเที่ยวนะคะ
- ค่าครองชีพต่างๆ ค่อนข้างพอๆกับบ้านเรา แต่ที่นี่มีที่ละลายทรัพย์เยอะเด้อ ของน่ารัก ราคาถูกน่าซื้อฝาก
- อาหารการกินหนักไปทางผัก แป้ง ไข่ ใครกินยากเอาอาหารแห้งไปด้วยจ้ะ แต่ขนาดกวิ้นที่กินที่กินยาก ยังกินได้แปลกใจอยู่
- ปลั๊กไฟที่อินเดียเป็นแบบรูกลมสองหัวและสามหัว อย่าลืมพกหัวปลั๊ก Universal มานะจ้ะ
- internet แทบไม่มีสัญญานของค่ายใดใดทั้งสิ้น บางโรงแรมก็มี จะมาที่นี่เตรียมใจตัดขาดจาก internet หน่อยนะ แต่เราชอบมาก เพราะถือว่าเป็นการ social detox อย่างนึงเลยล่ะ
- การเดินทางในเลห์แนะนำให้เช่ารถ หรือ ถ้าใครแข็งแกร่งพอก็เช่ามอไซค์เก๋ ๆ ไป อย่างกวิ้นเองก็เดินทางด้วย minibus แบบ 12 ที่นั่งค่ะ ทริปนี้ไปหลายคน โดยมีพี่ธัญ เจ้าพ่อเลห์ จากเพจ TrailTrav เป็นหัวหน้าแก๊งส์ค่ะ ใครสนใจอยากไป ติดต่อได้เลย รับรองรถพร้อม ไกด์พร้อม อาหารการกินอิ่มหน่ำสำราญจ้า
- ภาษา คนที่นี่พูดภาษาดาลักกี่เป็นหลัก แต่โดยรวมเค้าพูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยค่ะ
- Time Zone : ช้ากว่าเราประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่า
อ่าน รีวิว Leh PART 1 Click

DAY 4 Khardungla Top – Nubra Valley
วันนี้พวกเราจะเดินทางไปยัง Nubra Valley ค่ะ โดยนูปร้านั่นอยู่ห่างจากเลห์ไปประมาณ 150 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราจะต้องผ่านเส้นทางธรรมชาติที่คดเคี้ยวและต้องไต่ระดับขึ้นไปบน Khardung La Pass ที่ความสูงถึง 5600 เมตรจากระดับน้ำทะเล! ก็คือเป็นถนนที่สูงสุดในโลก!

หลังจากผ่านพ้นเส้นทางอันโคตรคดเคี้ยว วิบากสุดที่เคยเจอมา ถนนเล็กนิดเดียว สวนกันแทบไม่ได้ ในที่สุดเราก็มาถึง จุดที่สูงที่สุดของเส้นทางนี้ โดยมีป้ายหินสีเหลืองเป็นตัวยืนยันว่า ถึงแล้วโว้ยย Khardungla Top

บนนี้จะมีหิมะตลอดปีทั้งปีเลย เพราะมันสูงและหนาวมากกกกกกกก เวลาจะทำอะไรต้องช้า ๆ หน่อย เพราะว่าะอากาศเบาบาง หายใจไม่ถนัด แต่มันก็สวยจริง ๆ แหละ

ระหว่างทางไป Nubra เราได้เจอน้อง Yak ด้วย มันก็คือจามรีนั่นเองงง คือปกติไม่เคยเห็นแบบนี้ ที่เลห์เค้าเลี้ยงกันแบบเหมือนเลี้ยงวัวบ้านเราเลยค่ะ แบบเดินไปเดินมา ดินแดนเสรีที่แท้เด้อออ

หลังจากนั่งรถมาแสนยาวนาน นานนนนนนนนนนนนนนนนน เราก็มาถึง Hunder Sand Dune ที่ที่เราจะมีขี่อูฐกลายทะเลทรายกันจ้าาา

ลืมภาพทะเลทรายที่แดดเปรี้ยงไปเลยได้ เพราะที่นี่หนาวมาก! ลมแรงมาก! ผมปลิวไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้วจ้าาาา น้องอูฐที่นี่น่ารักมาก อูฐที่นี่เป็นอูฐสองหนอก ขนปุยๆ ตัวป้อมๆ ขนตางอนเชียวแก~

ใกล้ๆจุดขี่อูฐ จะมีทะเลทรายสีเทาๆ กว้าง ๆ ให้เราถ่ายรูปได้ด้วยนะ ด้วยความที่ฉากหลังมันเป็นภูเขาหิน เราเลยได้ภาพที่เหมือนอยู่บนดาวอังคารเลย เท่เว่อร์
📍 Hunder Sand Dune
GPS : https://goo.gl/maps/faGBCspwMMiDjZhv8
Price : ค่าขี่อูฐ 30 นาที 500 รูปี (250 บาท) / 1 ชั่วโมง 900 รูปี (450 บาท)

หลังจากขี่อูฐกันเสร็จ เราก็ตรงเข้าที่พักที่ Nubra เลยค่ะ หมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขา วิวสวยงามเลยล่ะ

DAY 5 Diskit Monastery – Turtuk Village
เกินครึ่งทางของทริปนี้แล้วจ้า เข้าสู่วันที่ 5 วันนี้ กวิ้นและชาวคณะ… ไมฟังแล้วดูเหมือนคณะตลกอะ 555 เออนั่นแหละ พวกเราจะเดินทางไปยังหมู่บ้านสุดขอบของอินเดีย Turtuk นั่นเอง!

สถานที่แรกที่เราแวะเที่ยวของวันนี้ก็ยังคงเป็น วัด หลายๆคนเริ่มคิดนี่มันทัวร์แสวงบุญรึเปล่า? อ่ะ แต่ว่าแต่ละวัดที่ไปนี่แตกต่างกันหมดเด้อ สวยไม่แพ้กันเลย อย่างวัดนี้ Diskit Monastery เป็นวัดเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน Nubra ตัววัดตั้งอยู่บนยอดเขาสูง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 มีอายุกว่า 500 ปี เป็นวัดที่องค์ดาไลลามะเคยมาประทับด้วยค่ะ

วัดนี้วิวดีมากกกกกกกกกกก เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาสูง มันเลยมีวิวที่ดีต่อใจ และจุดเด่นอีกอย่างของที่นี่ก็คือพระพุทธรูปองค์ใหญ่มว๊ากกกกกก ใช้โดรนเก็บภาพมาให้ดูกัน อ้อ ที่นี่เสียเงินค่าบินโดรนน๊า จ่ายครบจบเลย 5555
📍 Diskit Monastery
GPS : https://goo.gl/maps/DD5YY4S2byjz7yiv5

ระหว่างทาง มันมีอะไรให้ต้องกดชัตเตอร์บ่อยมากๆ อย่างรูปนี้อะ FAST FOOD CORNER อะแก ขายเฟรนซ์ไฟน์เหรอ รึไง?

ทริปนี้พิเศษสุด พิเศษขนาดที่ว่า ไกด์ท้องถิ่นของเรา ชวนไปแวะที่บ้าน นางบอกว่าที่บ้านนางมีสวน apple ป้าดดดดด เออ เอาสิ ไปก็ไป! พอไปถึง มีอยู่ 3 ต้น ไอ้ต้าวบ้า! ไหนสวนวะ อ้อ สรุปสวนที่ว่าคือปลูกหลายๆอย่าง ไม่ใช่แค่แอปเปิ้ล แต่ไม่เป็นไร เพราะไกด์น่ารัก ปืนต้น apple เด็ดผลสดๆลงมาให้กิน ก่อนกินก็ล้างน้ำที่มันไหลผ่านในบ้านนางนั้นแหะ กัดไปคำโต ๆ โอ้โห หวานมว๊ากกก ฉ่ำจริง รู้เลยว่าแบบปลอดสารพิษ เอาจริงก็อิจฉานางที่มีบ้านเก๋ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติแสนสวยแบบนี้นะ

นี่รูปนี้ถ่ายที่หน้าบ้านไกด์ คือ! เกาหลีป่ะ Autumn in my heart มั้ย~ บ้าจริง

อ่ะ ออกนอกเส้นทางไปเล้กน้อย เรากลับสู่เส้นทางหลักกันดีกว่า ระหว่างทางไป Turtuk วิวก็จะแปลกตาขึ้นไปเรื่อย ๆ เส้นทางค่อนข้างไกลมว๊ากกกก แต่ก็มีจุดให้แวะถ่ายรูปสวย ๆ เยอะเลยแหละ

จำชื่อแม่น้ำนี่ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าใช่ Shyok River มั้ย คือสีสวยมาก เอาจริง เราชอบวิวเส้นนี้มากสุดในทริปนะ เพราะมันมีสีสันที่สดใสมาก ทั้งแม่น้ำ ท้องฟ้า ภูเขา และใบไม้ที่เริ่มเหลืองจัด

ในที่สุดหลังจากนั่งรถมานานแสนนาน และเดินขึ้นเขาอีกพักใหญ่ ๆ เราก็มาถึง Turtuk Village หมู่บ้านสุดท้ายชายเขตของอินเดีย ระหว่างทางมานี่เป็นเขตที่ทหารคุมเข้มมาก ดังนั้นการถ่ายรูปเข้าไปในพื้นที่ทหารคือสิ่งต้องห้าม และเราต้องแสดงพาสปอร์ตของเราด้วย ถึงจะผ่านเข้ามาบริเวณนี้ได้

หมู่บ้านนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาเขตของปากีสถาน แต่หลังจากการสู้รบกันระหว่างปากีกับอินเดีย จบลงด้วยอินเดียเป็นฝ่ายชนะในปีค.ศ. 1971 Turtuk จึงกลายมาอยู่ใต้การดูแลของอินเดียตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ผู้คนที่นี่หน้าตาแตกต่างจากคนดาลักกี้ หน้าตาออกไปทางแขกปากีสถาน มีดวงตากลมโต และน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส น่ารักมากๆ ค่ะ

หลังเทือกเขา Karakoram นี้ อีกฝั่งก็คือประเทศปากีสถานนั่นเอง Karakoram นี้เป็นเทือกเขารอยต่อระหว่าง เทือกเขาหิมาลัย และ เทือกเขาฮินดูกุชค่ะ

ความสนุกของวันนี้ยังไม่จบ เพราะโรงแรมที่เราจะพักคืนนี้มันอยู่บนพื้นที่สูง ที่รถขึ้นไม่ได้! แม่จ๋า ช่วยกวิ้นด้วย ดูทางดิ คืออากาศน้อยแล้วยังต้องเดินขึ้นอีก ทำใจค่อย ๆ เดินไปแน่นอนค่ะ เดินถึงเป็นคนสุดท้าย แม้แต่ลาที่ขนกระเป๋าให้ยังถึงก่อนกวิ้น!

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Duktuk Hotel ที่เราพักกันคือนี้ ก็เป็นอีกโรงแรมที่เราประทับใจมาก ทั้งวิวสวย ๆ อาหารที่อร่อยมว๊ากกกกกก แบบมากๆๆๆ และชาร้อน พร้อมApricot อบแห้งที่แสนอร่อย ทำให้คืนนี้อบอุ่นขึ้นมาทั้งๆที่ไม่มีฮีทเตอร์เฉยเลยแหะ
📍 Turtuk Village
GPS : https://goo.gl/maps/Eu4qBU3PdsgPyepT6

DAY 6 Leh Bazar
วันที่ 6 วันแห่ง Surprise! ขอตั้งชื่อให้เลยจ้ะ เริ่มจาก ขับๆไปจากฝูงวัวเข้าชาร์ต เราเป็นผู้มาเยือนก็ต้องให้เจ้าถิ่นเค้าเดินทางก่อน จอดนิ่งๆไปก่อน
ด้วยระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร เราเดินทางกันแบบไม่ได้แวะพัก เพราะตอนขามา ใช้เวลา 2 วัน เลยนะ ขากลับก็ต้องผ่าน Khardung la pass ทางเดิมนี่แหละ แต่มันก็มี Surprise เพราะหิมะที่ตกหนักขึ้น ทำให้ถนนมันเริ่มลื่น เห็นรถหลายๆ คันเค้าก็ใช้โซ่มาพันล้อ แต่คนชับรถเราแบบ เอ้ย ยังไม่ต้อง ได้ๆ อะได้ก็ด้ายยยย

ซักพัก คนขับบอก เออต้องใส่โซ่แหละยู พวกยูลงไปรอก่อนนะ ด้ายจ้าด้ายยยยยยยย อากาศตอนนั้นอะ รู้เลยว่าติดลบแน่นอน แล้วคือใช้เวลาเป็น ชม. ใส่ไม่ได้เพราะอุปกรณ์ไม่พร้อม! โว้ยยย อธิษฐานอย่างหนัก เริ่มเข้าสู่ ชม. ที่สอง พระเจ้าส่งรถอีกคันที่มีอุปกรณ์มาช่วย ใส่ได้แล้วจ้าาาาา แต่! รถวิ่งไปได้แค่ไม่ถึง 5 นาที คนขับบอก โซ่มันไม่พอดีเสียงดัง ขอถอดออกก่อนนะ เอ้า! อีหยังวะะะะ

เออ ประสบการณ์ชีวิตดี ดีที่ไม่ตาย! ขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึกไว้แล้วกัน หึหึ

หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางนานแสนนาน วันนี้เราเลยไปไหนไม่ได้นอกจาก Leh Main Bazaar ช้อปปิ้งแก้เซ็งกันค่ะ

ถ้าคุณเป็นสาวกของ handmade หรือ ของสไตล์ Craft ต่าง ๆ รับรองว่ากระเป๋าตังค์ของคุณจะต้องสั่นอย่างแน่นอน เพราะของที่ขายนั้นน่ารักมว๊ากกกก นี่โดนผ้า PASHMINA ผ้าทอมือจากแคชเมียร์ ไป 1 ผืน ราคา 1,xxx ลายสวยและน่ารักมาก กวิ้นห่มไปเที่ยวแคชเมียร์ ไว้มารีวิวให้ดูนะ อิอิ

จะบอกว่า ใครอยากเล่นเน็ตต้องมาหาคาเฟ่ที่ตลาดนี่แหละ แต่ร้านที่เน็ตโอเคจริง ๆ ก็มีไม่กี่ร้าน อย่างร้าน Brazil Cafe ร้านเล็กๆ อยู่บนชั้น 2-3 ซึ่งทางขึ้นจะเป็นบันใดเล็กๆ

ร้านนี้กาแฟราคาถูก ชานมอร่อย มีห้องน้ำสะอาด และเน็ตเล่นได้ดีเลย แนะนำจ้ะ
อีกร้านที่พิซซ่าอร่อย กาแฟโอเค เน็ตแรงสุดแล้ว ชื่อร้าน Leh Ling ร้านนี้อยู่ชั้น 2 มองลงมาเห็นคนเดินช้อปสนุกดีเหมือนกัน
อ้อ! อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาตลาดนี้ก็คือการยืนกิน สตรีท ฟู้ด! เนื้อย่างเตาถ่าน โดยจะมีทั้งเนื้อไก่ แพะ แกะ คือมันอร่อยมาก! เค้าจะมีแบบราดซอสและไม่ราด ซอสมันจะสีเหลืองๆส้มๆ ไม่รู้คือไรนะ แต่รสชาติคือเผ็ดๆ อร่อยนะ หน้าตาอาจจะดูไม่สะอาดเพราะเอากระดาษหนังสือพิมพ์มารอง แต่มันอร่อยนะเว้ย คิดซะว่าเหมือนถุงกล้วยแขกไงแก สบายใจ 55555

📍 Leh Main Bazaar
GPS : https://goo.gl/maps/qKL27awhokqwygq47

DAY 7 PANGONG Lake- Chang La Pass
วันนี้เดินทางสู่ Land Mark อีกแห่งที่คนมาเลห์ไม่ไปก็คือ เหมือนมาไม่ถึง นั่นก็คือ PANGONG Lakeนั่นเอง โดยเส้นทางวันนี้เราจะต้องผ่าน Chang La Pass ที่สูงและวิบากไม่แพ้ Khardung La เลยจ้ะ เพราะที่นี่เป็นทางหลวงที่สูงอันดับ 2 ของโลก แต่มันพีคต้องอากาศวันนี้เย็นกว่าทุกวันที่ผ่านมา หิมะก็ตกหนักเมื่อคืน ทำให้เราเดินทางได้ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ไปถึง 2 ชั่วโมงเลย

แต่ก็ยังมี มีวิวสวย ๆคน สวยๆ ในทริปให้มอง เพลินดี ….

จริงๆ แล้วระหว่างทางไป Pangong Lake เนี่ย เค้าจะมีบริเวณที่เป็นที่อยู่ของ Himalayan Marmot ที่แสนน่าร๊ากกก กระรอกดินบิ๊กไซส์ แต่นั่นแหละค่ะ มาช่วงอากาศหนาว น้อนไม่ออกมาให้เจอเพราะจำศีลไปแล้ว เสียใจหนักมากค่ะ ฮืออออออ

อย่างที่บอกว่ามันผิดแผน เพราะพวกเราใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่ตั้งใจไว้ ไปถึงแสงมันก็ไม่ส่องทะเลสาปแล้ว เสียใจนิดๆ แต่ว่ามันทะเลสาบปมันก็สวยในแบบของมันนะ แต่ถ้าใครจะมา ให้มาถึงก่อน 14:00 น๊า จะได้รูปสวยๆ
Pangong Lake หรือทะเลสาปพันกอง เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก ความสูงของมันอยู่ที่ 4,350 เมตร ที่นี่มีฉายาว่า “น้ำตาแห่งหิมาลัย” โดยมีพื้นที่ของทะเลสาบ 30% อยู่ในเขตของอินเดีย ส่วนอีก 70% อยู่ในเขตของจีน คนจีนเรียก ฝางกงโฉ ที่นี่ลมแรงมว๊ากกกก ยืนได้ไม่นานก็ต้องหาที่หลบๆ
เหมือนกันบ้านเราบริเวณ Pangong Lake มีการเรียงหินด้วย ว่าแต่ว่าความเชื่อเรื่องการเรียงหินนี่หมายถึงอะไรนะ? ใครรู้บอกกวิ้นทีสิ
📍 Pangong Lake
GPS : https://goo.gl/maps/zA5HQBpZQh5b1Lnm7

DAY 8 Stakna Monastery – Matho Gompa – เรียนรู้วัฒนธรรมคนเลห์แบบโลคอล ๆ
วันสุดท้ายก่อนเราจะเซย์ Good Bye กันแล้ว วันนี้พวกเราเลยชิลกันมาก ๆ ออกแนวสไตล์เก็บตกแต่ละสถานที่กัน เริ่มจากที่แรกเลย Stakna Monastery มุมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
เราชอบมาก คือถ้าหันไปททางวัดก็จะได้มุมใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับสีแม่น้ำได้พอดี และมีวัดเป็นแบล็อกกาวน์ไกล ๆ แต่ถ้าหันไปอีกทางก็จะได้ฟีลถนนเท่ ๆ สวยเหมือนกันค่ะ
ทางเข้าวัด จะมีสะพานข้ามแม่น้ำ Indus River ที่ผูกธงมนต์ไว้เยอะมาก ถ่ายรูปสวย ๆ ได้หลายใบเลยนะ

วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ มีอายุประมาณ 500 ปี ปัจจุบันที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของลามะประมาณ 30 รูป

วันที่เราไปเค้ามีมีพิธีสถาปนาลามะด้วย ก็จะขึ้นมีรถแห่ไปทั่วเมืองเลย

แน่นอนว่าแต่ละวัดของที่เลห์นั้นมีวิวที่สวย อย่างวัดนี้มองลงไปจะเห็นวิวต้นไม้สีเหลืองทอง พร้อมเทือกเขาสีน้ำตาล สวยมากเลยค่ะ
📍 Stakna Monastery
GPS : https://goo.gl/maps/ztQMk2skS2iNiBx26
ขอนำเหนอ อีก 1 วัด ที่ถือว่าเป็น hidden gem ก็ว่าได้นะ เพราะไม่ค่อยมีคนมากัน เนื่องจากแอบไกลจากถนนหลัก แต่วัดนี้มีความแตกต่างจากหลาย ๆ วัดที่เราไปกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สถาปัตยกรรม สีสัน และวิว
📍 Matho Gompa
GPS : https://goo.gl/maps/sFJe1QJS5YE1vHHh9

มีเวลาเหลือ เราเลยจะไปบ้านของคนเลห์จริง คือเป็นเจ้าของ AGENCY ที่จัดทริปนี่แหละ แต่ระหว่างทางเจอมุมนี้! คือเป็นพื้นที่ว่างข้างทางที่สวยมาก ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน พวกเราเลยแวะไปถ่ายรูปเล่นกัน

เอาจริง มันเหมือนอยู่เกาหลี ญี่ปุ่นอะไรอย่างนั้นเลยอะ ชอบๆ ถือเป็นอีกจุดที่เรากริ๊ดมาก

หลังจากไปเกาหลีมา เอ้ย! ไปถ่ายรูปที่เลห์นี่แหละมา พวกเราก็ไปกันต่อเป็นบ้านของ TL ที่เป็น Agency ที่ดูแลทริปของพวกเรานี่แหละ แบบ exclusive มากจริง ไปถึงพ่อแม่ก็ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยชานมและคุกกี้โฮมเมด ที่อร่อยมากเลย

ไม่พอค่ะ พ่อจัดเหล้าที่หมักเองมาให้อีกจอก โอ้โหหหหบ้าจริง อร่อยมาก ถ้าใครเคยกินเหล้าข้าว มักกอลลี ของเกาหลี นั่นแหละ ใช่เลยจ้าาา

พิเศษไปอีก เพราะที่ TL เอาชุดของคนเลห์แบบที่จะใชส่เฉพาะงานสำคัญๆ อย่างงานแต่งงาน ออกมาให้พวกเราดู และคุณลุงยังได้ลองใส่ด้วย นี่ คนเลห์ที่แท้ทรูเค้าแต่งตัวแบบนี้จ้า ถือว่าเป็นการปิดท้ายทริปได้สวยงามจริงๆ
.
จบแล้วค่ะกับ รีวิว Leh ของเรา ที่นี่ยังมีความดิบ และความสวยงามความธรรมชาติ ที่เรีกยได้ว่าสวยสุดๆ ฉุดไม่อยู่จริงๆ
Julley!! Leh Ladakh